คุณสมบัติและขนาดของถาดบราวนี่ 1. ถาดอบขนม ใช้อบขนมเค้ก อบบราวนี่ อบพิซซ่า เป็นถาดเทฟล่อน Non stick ไม่ติดก้น 2. ถาดบราวนี่ที่จำหน่าย มีให้เลือก 2 ขนาด คือ ขนาด 8X8 นิ้ว มี 2 สีให้เลือก คือ สีดำ และสีทองแชมเปญ และขนาด 7x7 นิ้ว มีจำหน่ายเฉพาะสีดำ 3. ขอบด้านนอกของถาดบราวนี่ ขนาด 8x8 นิ้ว (22.5x22.5x5 ซม.) ส่วนขอบด้านในขนาด กว้าง 20ซม.xยาว 20ซม.xสูง 4.5ซม. 4. ขอบด้านนอกของถาดบราวนี่ ขนาด 7x7 นิ้ว (21 x21 x4.3 ซม.) ส่วนขอบด้านในขนาด กว้าง 19.5 ซม.xยาว 19.5ซม.xสูง 4 ซม. 5. ตัวถาดเคลือบเทฟล่อน เนื้อขนมไม่ติดพิมพ์ (Non stick) จึงไม่ต้องรองด้วยกระดาษไข ล้างทำความสะอาดง่าย 6. ผลิตจากวัสดุเหล็กคาร์บอน ทนความร้อนได้สูงสุดถึง 230 องศาเซสเซียส 7. ใช้สำหรับเตาอบและหม้ออบลมร้อนได้ 8. ขนาดของถาด อาจจะมีบวกลบจากสัดส่วนจริงประมาณ 0.3-0.5 cm *ไม่แนะนำให้นำเข้าเตาไมโครเวฟ ถ้าเป็นเตาอบ หม้ออบ หม้อนึ่ง ไม่มีปัญหาค่ะ -------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- รู้จัก "บราวนี่" สาวๆ รู้หรือไม่ว่า "บราวนี่" หรือ "บราวนี่ช็อกโกแลต" ที่มีลักษณะแบนแบบสี่เหลี่ยมหรือบาร์ที่ถูกนำไปอบ เริ่มพัฒนาขึ้นครั้งแรกในสหรัฐอเมริกา ตอนปลายศตวรรษที่ 19 และเป็นที่ชื่นชอบทั้งในสหรัฐฯ และแคนาดา โดยในช่วงครึ่งแรกของศตวรรษที่ 20 บราวนี่ถือเป็นลูกครึ่งระหว่างเค้กกับคุกกี้ ที่มักจะเป็นส่วนหนึ่งของกล่องอาหารกลางวัน ด้วยความที่สามารถใช้มือจับทานได้สะดวก และมักจะทานร่วมกับนมหรือกาแฟได้ ทำให้ บราวนี่ เป็นที่นิยมอย่างมากในร้านอาหารทั่วไป และถูกพบมากอย่างหลากหลายในเมนูของหวาน ------------------------------------------------------------------------ ตำนาน "บราวนี่" ก็มา เรื่องราวของ "บราวนี่" นั้น มีตำนานอยู่ถึง 3 ตำนาน โดยตำนานแรกระบุไว้ว่า มีพ่อครัวคนหนึ่งได้ใส่ช็อกโกแลตละลายลงในก้อนแป้งบิสกิตโดยไม่ได้ตั้งใจ ส่วนตำนานที่ 2 กล่าวว่า พ่อครัวลืมเติมแป้งเข้าไปในส่วนผสมของที่ตีรวมกันแล้ว และตำนานที่ 3 ที่เป็นความเชื่อที่เป็นที่นิยมก็คือ แม่บ้านคนหนึ่งไม่มีผงฟู เลยดัดแปลงสูตรใหม่ ว่ากันว่า...เธอเตรียมของหวานสำหรับแขก และตัดสินใจที่จะเสิร์ฟเค้กแบนๆ ที่อบแล้วนี้ เอาเป็นว่า...ตำนานทั้ง 3 เป็นเรื่องที่นิยม ประวัติของ "บราวนี่" สำหรับประวัติที่แท้จริง ระบุไว้ว่า พ่อครัวคนหนึ่งในโรงแรมพาล์มเมอร์เฮาส์ที่ชิคาโก ได้คิดขนมชนิดหนึ่งขึ้นมา จากที่ "เบอร์ธา พาล์มเมอร์" อยากจะได้ของหวานสำหรับสุภาพสตรี ที่มาร่วมงานแสดงสินค้านานาชาติที่ชิคาโกในปี ค.ศ. 1893 เธอบอกว่า "ของหวาน" ชิ้นนี้นั้น จะต้องมีขนาดเล็กกว่าเค้ก แต่ก็ต้องยังคงมีลักษณะคล้ายเค้ก และสามารถรับประทานได้ง่าย โดยจะบรรจุในกล่องอาหารกลางวัน บราวนี่ชนิดแรกที่ว่านี้จึงมีส่วนผสมของแอพริคอตและวอลนัตโรยหน้า แล้วรู้หรือไม่คะ...ปัจจุบันโรงแรมแห่งนี้ยังทำบราวนี่ตามสูตรดั้งเดิมขายอยู่เลย ใครมีโอกาสอย่าลืมแวะไปทานแล้วมาบอกเราด้วยนะคะ ว่ารสชาติอร่อยแค่ไหน ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------- วัตถุดิบและส่วนผสม ในการทำ "บราวนี่" - น้ำมันมะกอก 2/3 ถ้วยตวง - น้ำตาลทรายแดง 2 ถ้วยตวง - แป้งสาลีอเนกประสงค์ 1.5 ถ้วยตวง - กลิ่นวานิลลาสกัด 1.5 ช้อนชา - ดาร์กช็อกโกแลตชิป 1.5 ถ้วยตวง - เบคกิ้งโซดา 1 ช้อนชา - ผงโกโก้ 3/4 ถ้วยตวง - เกลือ 1 ช้อนชา - น้ำเปล่า 1 ถ้วยตวง - ไข่ไก่ 2 ฟอง - ถั่วชนิดต่างๆ สำหรับโรยหน้าบราวนี่ ----------------------------------------------------------------------------------- อุปกรณ์สำหรับทำ "บราวนี่" - ภาชนะสำหรับอบ 8*8 นิ้ว - เตาอบขนม - ถ้วยสำหรับผสม - กระดาษสำหรับรองขนม ขั้นตอนการทำ "บราวนี่" ขนมหวานในตำนาน 1. เทแป้ง เบคกิ้งโซดา เกลือ น้ำตาลทรายแดง และผงโกโก้ ลงในถ้วยผสม แล้วคนให้เข้ากัน แล้วพักไว้ 2. ใส่น้ำมันมะกอก น้ำเปล่า กลิ่นวานิลลาสกัด ไข่ไก่ ลงในถ้วยผสมอีกอัน แยกจากถ้วยผสมเมื่อกี้ แล้วผสมให้เข้ากัน จากนั้นนำไปเทลงบนเนื้อแป้งที่ผสมไว้ก่อนหน้า 3. หลังจากนั้นเทช็อกโกแลตชิปลงไป ผสมให้เข้ากัน 4. เทถาดสำหรับอบขนมด้วยน้ำมันมะกอกแบบสเปรย์ ปูกระดาษที่ใช้รองขนมลงบนถาด 5. เทส่วนผสมทั้งหมดลงบนถาด 6. โรยหน้าบราวนี่ด้านบนด้วยถั่วชนิดต่างๆ 7. นำถาดเข้าเตาอบ ใช้ความร้อนด้วยอุณหภูมิ 170 องศาเซลเซียส อบขนมด้วยระยะเวลา 22-25 นาที 8. นำถาดออกจากเตา ------------------------------------------------------------------------------------------------------ เคล็ดลับความอร่อยในการทำ "บราวนี่" แนะนำให้อย่าอบ "บราวนี่" นานจนเกินไป ไม่เช่นนั้นเนื้อขนมอาจไม่ฉ่ำเท่าที่ควร กัดแล้วจะไม่ฟินนะคะ เห็นมั้ยคะไม่ยากเลย สำหรับสาวๆ ที่อยากทำขนมเอาใจแฟน หรือลูกๆ เมนูขนมหวานอย่าง "บราวนี่" ขนมหวานในตำนาน ก็น่าสนใจไม่น้อยทีเดียว ลองทำตามกันดูค่ะ อร่อยแค่ไหนมาบอกกันหน่อย Cr. https://www.thairath.co.th/lifestyle/health-and-beauty/1848989